Touch Point คืออะไร จุดสัมผัสที่แสนจะสำคัญ

Touch Point จุดสัมผัสระหว่างแบรนด์กับลูกค้า สร้างประสบการณ์เชิงบวกและความประทับใจในทุกช่องทาง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
Touch Point

 

ก่อนที่เราจะเจาะลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับ Touch Point ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เราต้องยอมรับว่าปัจจุบัน “ลูกค้า” มีพฤติกรรมซับซ้อนและคาดหวังสูงมากขึ้น พวกเขามีช่องทางในการสื่อสารและค้นหาข้อมูลได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่หน้าเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย แอปพลิเคชัน ไปจนถึงหน้าร้านค้าหรือบูธแสดงสินค้าในงานอีเวนต์ต่าง ๆ ดังนั้น การสร้างประสบการณ์ที่ “เชื่อมต่อ” และ “ต่อเนื่อง” ระหว่างโลกออนไลน์กับออฟไลน์ จึงเป็นสิ่งที่แบรนด์และนักการตลาดไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

จุดเชื่อมโยงต่อไป เมื่อเข้าใจทิศทางและบริบทของโลกการตลาดแล้ว เราจะมาดูกันว่าแท้จริงแล้ว “Touch Point” คืออะไร และทำไมมันถึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า

Touch Point คืออะไร และทำไมจึงเป็นหัวใจของการตลาด

หลังจากที่เราได้เห็นถึงความซับซ้อนของพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัลแล้ว ต่อไปเราจะเจาะลึกลงไปในความหมายของ “Touch Point” (จุดสัมผัส) ซึ่งหมายถึงจุดหรือช่องทางที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) หรือรับรู้ (Awareness) เกี่ยวกับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นในโลกออนไลน์หรือออฟไลน์

  • โลกออนไลน์ (Online Touch Point)
    ประกอบด้วยช่องทางดิจิทัลทั้งหมด เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล แพลตฟอร์มวิดีโอ คอมเมนต์ในรีวิวของลูกค้า หรือแอปพลิเคชัน ฯลฯ
  • โลกออฟไลน์ (Offline Touch Point)
    ประกอบด้วยจุดสัมผัสในโลกจริง เช่น ร้านค้า สาขา บูธอีเวนต์ การโฆษณาผ่านสื่อนอกบ้าน (Out-of-Home) การจัดกิจกรรมการตลาดเชิงประสบการณ์ (Experiential Marketing) ฯลฯ

เหตุผลที่ Touch Point เป็นหัวใจของกลยุทธ์

  1. สร้างการจดจำแบรนด์ (Brand Recall)
    เมื่อผู้บริโภคพบเจอแบรนด์ในบริบทที่ตอบโจทย์ จะเกิดการจดจำและนำไปสู่การตัดสินใจซื้อในอนาคต
  2. สร้างความน่าเชื่อถือ (Credibility)
    Touch Point ที่มีคุณภาพ ชัดเจน และให้ข้อมูลครบถ้วนช่วยให้ลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์มากขึ้น
  3. สร้างประสบการณ์ที่สม่ำเสมอ (Consistent Experience)
    หาก Touch Point ทุกจุดนำเสนอคุณค่าของแบรนด์ได้อย่างเป็นเอกภาพ ลูกค้าจะรับรู้ถึงความเชื่อมโยงและตั้งใจใช้บริการต่อไป

เมื่อเข้าใจแล้วว่า Touch Point คืออะไรและทำไมถึงจำเป็น ขั้นต่อไปคือการเรียนรู้ว่าการเชื่อมโยงโลก “ออนไลน์” และ “ออฟไลน์” ให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั้นควรทำอย่างไร

การเชื่อมโยง Touch Point ระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์

ก่อนจะเข้าสู่ตัวอย่างหรือเคสศึกษา เรามองเห็นแล้วว่า Touch Point ในแต่ละช่องทางมีความสำคัญและมีลักษณะเฉพาะตัว ในหัวข้อนี้ เราจะพูดถึงหลักการสำคัญในการผสาน Touch Point จากออนไลน์ไปสู่ออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง

Omnichannel Experience

หลักการสำคัญคือต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าไม่ว่าพวกเขาจะติดต่อผ่านช่องทางใด แบรนด์ก็ยังส่งมอบประสบการณ์ที่สอดคล้องกัน ตัวอย่างเช่น ระบบ “Click & Collect” ที่ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และไปรับสินค้าหน้าร้านได้ในทันที

Personalization


การใช้ข้อมูลเชิงลึก (Customer Data) จากระบบ CRM หรือ Marketing Automation เพื่อปรับเปลี่ยนข้อความและโปรโมชั่นให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ารายบุคคล ไม่ว่าจะติดต่อทางออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ตาม

การสื่อสารที่เป็นเอกภาพ (Consistent Communication)

การใช้แบรนด์โทน (Brand Tone) และ Key Message เดียวกันในทุกช่องทาง ตัวอย่างเช่น “เสียงแบรนด์” ที่ใช้ในโฆษณาทางทีวีควรสอดคล้องกับคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย

  1.  

การจัดการ Touch Point

Starbucks จากแอปพลิเคชันสู่หน้าร้าน

  • Starbucks Rewards App ลูกค้าสามารถสั่งเครื่องดื่มและรับโปรโมชั่นพิเศษ ผ่านแอปพลิเคชันได้อย่างสะดวก เมื่อมาถึงร้านก็เพียงสแกนเพื่อรับสิทธิประโยชน์
  • การสร้างประสบการณ์ตรง บาริสต้าในร้านจะถามชื่อลูกค้าและเขียนลงบนแก้วเครื่องดื่ม ซึ่งเป็น Touch Point ที่ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวและผูกพันกับแบรนด์

Nike Omnichannel Retail Store

  • Nike App ที่เชื่อมต่อกับ Nike Physical Store ลูกค้าสามารถดูสต็อกสินค้าผ่านแอป เลือกสินค้า และนัดหมายเวลาลองสินค้าที่สาขาใกล้บ้าน
  • In-Store Experience มีจุด Touch Point ที่เป็น Interactive Display ให้ลูกค้าทดลองออกแบบรองเท้าของตัวเอง หรือเชื่อมต่อข้อมูลการวิ่งผ่านอุปกรณ์ IoT

Tesco / Lotus’s การผสานโปรโมชั่นออนไลน์และออฟไลน์

  • ลูกค้าสามารถสั่งของออนไลน์ผ่านแอป Lotus’s แล้วเลือกได้ว่าจะรับของที่สาขาใด หรือให้จัดส่งถึงบ้าน
  • มีคูปองส่วนลดและโปรโมชั่นพิเศษบนแอป ที่สามารถใช้ร่วมกับการซื้อสินค้าหน้าร้านได้ด้วย

ผลการวิจัยที่สะท้อนความสำคัญของ Touch Point

เมื่อเห็นตัวอย่างการปฏิบัติจริงไปแล้ว ในส่วนนี้เราจะมาดูผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Touch Point มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า และมีอิทธิพลต่อความผูกพันระยะยาวอย่างไร

ผลการวิจัยที่สะท้อนความสำคัญของ Touch Point
เมื่อเห็นตัวอย่างการปฏิบัติจริงไปแล้ว ในส่วนนี้เราจะมาดูผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Touch Point มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า และมีอิทธิพลต่อความผูกพันระยะยาวอย่างไร

ผลการวิจัยจาก Google & Ipsos

พบว่า 90% ของผู้บริโภคใช้หลายอุปกรณ์ในการทำความรู้จักแบรนด์ ตั้งแต่การค้นหาข้อมูลในมือถือ จนถึงการดูรีวิวในแท็บเล็ตหรือโน้ตบุ๊ก ก่อนจะไปซื้อสินค้าที่ร้านจริง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการทำให้ลูกค้าสามารถ “เชื่อมต่อ” และ “เข้าถึง” แบรนด์ได้ในทุกจุดเป็นปัจจัยสำคัญ

รายงานจาก Deloitte “Omni-Channel Retail”

ชี้ว่าลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ในหลายช่องทาง (Omnichannel) มักจะมียอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Average Order Value) สูงกว่าลูกค้าที่ใช้เพียงช่องทางเดียวถึง 10-30% นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มกลับมาซื้อซ้ำ (Repeat Purchase) มากกว่าอีกด้วย

PwC Global Consumer Insights Survey

73% ของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประสบการณ์โดยรวม (Overall Experience) เทียบเท่าหรือมากกว่าคุณภาพของสินค้า บ่งบอกว่าถึงแม้สินค้าคุณภาพดี แต่หาก Touch Point ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าถูกละเลย ประสบการณ์แย่ ๆ เหล่านี้อาจทำให้เสียฐานลูกค้าไปอย่างถาวร

สรุป

Touch Point ไม่ใช่เพียงแค่การ “พบเจอ” ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า แต่คือ “จุดสร้างความประทับใจ” ที่จะขับเคลื่อนการตัดสินใจและความภักดี (Loyalty) ในระยะยาว การวางกลยุทธ์ Touch Point อย่างเป็นระบบ มีการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และเชื่อมโยงโลกออนไลน์กับออฟไลน์อย่างไร้รอยต่อ คือปัจจัยสำคัญที่จะนำพาแบรนด์ให้โดดเด่นท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในปัจจุบัน ด้วยบทความที่อธิบายทุกหัวข้ออย่างเชื่อมโยงกันนี้ หวังว่าผู้อ่านจะได้รับแนวทาง กลยุทธ์ และแรงบันดาลใจในการสร้าง “Touch Point” ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และพัฒนาแบรนด์สู่ความยั่งยืนในระยะยาวอย่างแท้จริง

 

Previous Article

Data Warehouse คืออะไร ต้องรู้เอาไว้ต่อยอดธุรกิจ

Next Article

การแบ่งส่วนตลาด คืออะไร? สิ่งสำคัญที่หลายแบรนด์มักลืม

Subscribe to our Newsletter

Subscribe to our email newsletter to get the latest posts delivered right to your email.
Pure inspiration, zero spam ✨