Marketplace สนามการค้าแห่งยุคดิจิทัล

เคยไหมครับ เวลาอยากซื้อของออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า แกดเจ็ต ของแต่งบ้าน หรือแม้แต่ของสดเข้าครัว สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนไทย นึกถึงมักจะเป็นแอปฯ สีส้ม สีฟ้า หรือเดี๋ยวนี้อาจมีสีดำของ TikTok เพิ่มเข้ามา นั่นแหละครับคืออิทธิพลมหาศาลของ Marketplace หรือ ตลาดกลางออนไลน์ ที่เข้ามาปฏิวัติวงการค้าปลีกและกลายเป็นหัวใจสำคัญของ E-commerce ในบ้านเราไปแล้ว ในยุคที่การแข่งขันออนไลน์สูงเสียดฟ้า การเข้าใจ รู้ลึก และใช้ประโยชน์จาก Marketplace ไม่ใช่แค่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นกลยุทธ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจไทยทุกขนาดที่ต้องการเติบโต

Marketplace คืออะไร ทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ถ้าจะให้เห็นภาพชัดเจน ลองนึกถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมือง หรือตลาดนัดจตุจักรสุดสัปดาห์ ที่นั่นมีร้านค้าหลากหลายประเภทมาเปิดแผงขายของ Marketplace ก็คือโมเดลเดียวกันเป๊ะๆ แต่ย้ายทุกอย่างมาอยู่บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ทำหน้าที่เป็น ตัวกลาง เชื่อมโยงให้ ผู้ซื้อ จำนวนมหาศาล ได้มาพบปะ เลือกซื้อสินค้าจาก ผู้ขาย ที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน

เอกลักษณ์สำคัญที่ทำให้ Marketplace แตกต่างและทรงพลังคือ

  • รวมพลคนขาย (Multi-Vendor) จุดเด่นที่สุดคือการมีร้านค้าหลายร้อยหลายพัน หรือแม้กระทั่งหลายล้านราย ไม่ใช่แค่แบรนด์เดียวขายสินค้าของตัวเอง ทำให้เกิดความหลากหลายของสินค้าอย่างมหาศาล
  • เจ้าของแพลตฟอร์มคือผู้ดูแล ผู้สร้าง Marketplace เช่น Shopee หรือ Lazada จะเป็นคนลงทุนและดูแลระบบหลังบ้านทั้งหมด ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี การตลาดเพื่อดึงดูดคนเข้าแอป ระบบการชำระเงินที่หลากหลายและปลอดภัย ไปจนถึงการกำหนดกฎกติกาต่างๆ แต่ส่วนใหญ่แล้ว เจ้าของแพลตฟอร์ม ไม่ได้ เป็นเจ้าของสินค้าหรือสต็อกสินค้าเอง ยกเว้นบางกรณีที่เป็น Hybrid Model
  • โครงสร้างพื้นฐานใช้ร่วมกัน ร้านค้าต่างๆ ใช้ระบบหน้าร้าน ตะกร้าสินค้า ระบบชำระเงิน หรือแม้กระทั่งบริการ Fulfillment และขนส่ง ที่แพลตฟอร์มจัดเตรียมไว้ให้ ทำให้ผู้ขายเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น
  • อำนวยความสะดวกและความปลอดภัย หน้าที่หลักคือสร้างประสบการณ์การซื้อขายที่ราบรื่น ปลอดภัย และน่าเชื่อถือให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย มีระบบรีวิว การการันตี หรือการช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหา
  • โมเดลรายได้จากค่าธรรมเนียม แพลตฟอร์มส่วนใหญ่มักจะสร้างรายได้จากการเก็บค่าคอมมิชชันเมื่อเกิดการซื้อขาย หรืออาจมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าลงสินค้า ค่าโฆษณา หรือค่าบริการเสริมต่างๆ
  • พลังของเครือข่าย (Network Effect) นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Marketplace เติบโตแบบก้าวกระโดด ยิ่งมีผู้ขายนำเสนอสินค้าที่หลากหลายและน่าสนใจ ก็ยิ่งดึงดูดผู้ซื้อให้เข้ามาใช้งานมากขึ้น เมื่อมีผู้ซื้อจำนวนมาก ก็เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ผู้ขายรายใหม่ๆ อยากเข้ามาขายเพิ่มขึ้นไปอีก ทำให้แพลตฟอร์มใหญ่ๆ ยิ่งมีพลังในการต่อรองและเติบโต

รูปแบบ Marketplace ที่หลากหลาย มีอะไรบ้าง

Marketplace ไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่แบ่งได้หลายประเภทตามลักษณะผู้ซื้อผู้ขายและสินค้า

  • B2C (Business-to-Consumer) ธุรกิจขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุด เช่น Shopee Lazada หรือ Central Online
  • B2B (Business-to-Business) ธุรกิจขายให้กับธุรกิจอื่น มักเน้นการขายส่ง สินค้าเฉพาะทาง หรือวัตถุดิบ เช่น Alibaba หรือ IndiaMART
  • C2C (Consumer-to-Consumer) ผู้บริโภคขายให้ผู้บริโภคด้วยกันเอง มักเป็นสินค้ามือสอง ของสะสม หรืองานฝีมือ เช่น Kaidee eBay Etsy หรือ Facebook Marketplace
  • แนวตั้ง (Vertical) เน้นขายสินค้าเฉพาะกลุ่มหรืออุตสาหกรรม เช่น Etsy ที่เน้นงานฝีมือ หรือ Advice ที่เน้นสินค้า IT
  • แนวนอน (Horizontal) ขายสินค้าหลากหลายประเภท ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เหมือนห้างสรรพสินค้า เช่น Shopee Lazada หรือ Amazon

เปรียบเทียบชัดๆ Marketplace กับ เว็บ E-commerce ของตัวเอง

การตัดสินใจว่าจะขายบน Marketplace หรือสร้างเว็บ E-commerce ของตัวเอง หรือทำทั้งสองอย่าง เป็นเรื่องที่ธุรกิจไทยต้องชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียให้ดี

  • Marketplace (เหมือนเช่าพื้นที่ในห้าง)
    • ข้อดี เข้าถึงลูกค้าจำนวนมากได้ทันที เพราะแพลตฟอร์มมีคนเข้าเยอะอยู่แล้ว เริ่มต้นง่าย ต้นทุนตั้งต้นต่ำกว่า ไม่ต้องปวดหัวเรื่องเทคนิคหลังบ้านมากนัก ใช้ประโยชน์จากความน่าเชื่อถือและระบบของแพลตฟอร์มได้ เหมาะกับการทดลองตลาดหรือสินค้าใหม่
    • ข้อเสีย การแข่งขันสูงมาก ต้องเจอคู่แข่งซึ่งๆ หน้า สร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ยาก ควบคุมประสบการณ์ลูกค้าได้จำกัด เช่น รูปแบบการนำเสนอหรือแพ็กเกจจิ้ง เข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้น้อย เพราะลูกค้าถือเป็นของแพลตฟอร์ม ต้องจ่ายค่าคอมมิชชันหรือค่าธรรมเนียมต่างๆ และต้องพึ่งพานโยบายของแพลตฟอร์มที่อาจเปลี่ยนแปลงได้
  • เว็บ E-commerce ของตัวเอง (เหมือนสร้างร้านเอง)
    • ข้อดี ควบคุมทุกอย่างได้ 100% ทั้งหน้าตาเว็บ ประสบการณ์ลูกค้า การสร้างแบรนด์ กำไรไม่ต้องแบ่งใคร ข้อมูลลูกค้าเป็นของเรา เอาไปต่อยอดทำการตลาดหรือสร้างความสัมพันธ์ได้เต็มที่ สร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้โดยตรง ยืดหยุ่นในการทำโปรโมชันหรือปรับกลยุทธ์
    • ข้อเสีย ต้องลงทุนลงแรงสร้างร้านและระบบเองทั้งหมด ต้องทำการตลาดหนักมากเพื่อให้คนรู้จักและเข้ามาที่เว็บ ต้องสร้างความน่าเชื่อถือด้วยตัวเอง อาจต้องใช้เวลาและงบประมาณสูงกว่าในช่วงเริ่มต้น

สำหรับธุรกิจไทย การเริ่มต้นบน Marketplace อาจเป็นก้าวแรกที่ดีในการเข้าถึงตลาดและสร้างยอดขาย แต่ในระยะยาว การสร้างเว็บ E-commerce ของตัวเองควบคู่ไปด้วย จะช่วยสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและฐานลูกค้าที่ภักดีได้อย่างยั่งยืน การผสมผสานทั้งสองช่องทาง (Omnichannel) จึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพ

สนาม Marketplace ในเมืองไทย ใครคือผู้เล่นหลักและมีอะไรน่าสนใจ

ตลาด Marketplace ในไทยนั้นร้อนแรงและเต็มไปด้วยการแข่งขันที่น่าจับตา

  • Shopee และ Lazada สองแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่สัญชาติสิงคโปร์และจีน (ในเครือ Alibaba) ที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง จุดแข็งคือฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ สินค้าครอบคลุมแทบทุกหมวดหมู่ ระบบโลจิสติกส์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง การตลาดและแคมเปญลดราคาที่ดุเดือดตลอดปี และฟีเจอร์ที่ปรับให้เข้ากับคนไทย เช่น การจ่ายเงินปลายทาง หรือ E-wallet ของตัวเอง
  • TikTok Shop ดาวรุ่งที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้ ด้วยการผสานพลังของ Social Media และ E-commerce (Social Commerce) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ใช้คอนเทนต์วิดีโอสั้นกระตุ้นการซื้อ เน้นสินค้าแฟชั่น ความงาม และของใช้ในชีวิตประจำวัน เติบโตเร็วมากจนก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์สามอย่างรวดเร็ว และกำลังส่งผลกระทบต่อผู้เล่นเดิมอย่างชัดเจน
  • Social Commerce (Facebook Marketplace, LINE SHOPPING) ช่องทางที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในไทย เพราะพฤติกรรมคนไทยนิยมซื้อขายผ่านโซเชียลมีเดียมากที่สุดในโลก ความง่ายในการแชทถาม ตอบ ซื้อขายเหมือนคุยกับเพื่อน ทำให้เกิดความไว้วางใจและปิดการขายได้ง่าย เหมาะกับสินค้าแฟชั่น ของกิน หรือสินค้าที่ต้องการการพูดคุยสอบถามก่อนซื้อ
  • ผู้เล่นเฉพาะทางและ Retailer เดิม กลุ่มนี้ก็ยังมีความสำคัญ
    • Kaidee ยังคงเป็นแพลตฟอร์ม C2C ที่แข็งแกร่งสำหรับของมือสองและสินค้าเฉพาะกลุ่ม
    • กลุ่มค้าปลีกดั้งเดิม เช่น Central HomePro Power Buy Advice JIB ต่างก็พัฒนาแพลตฟอร์ม E-commerce ของตัวเอง บางรายก็เปิดให้แบรนด์อื่นเข้ามาขายในลักษณะ Marketplace ด้วย โดยชูจุดเด่นเรื่องความน่าเชื่อถือ สินค้าเฉพาะทาง และการเชื่อมต่อกับหน้าร้าน
    • แพลตฟอร์มต่างชาติอื่นๆ เช่น AliExpress หรือ TEMU ก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะ TEMU ที่ใช้กลยุทธ์ราคาถูกบุกตลาดอย่างหนัก

ภาพรวมคือตลาดไทยมีการแข่งขันสูง ผู้เล่นหน้าใหม่ใช้ Social Commerce เป็นอาวุธสำคัญ ขณะที่ผู้เล่นเดิมก็ต้องปรับตัว พัฒนาโลจิสติกส์ และสร้างความแตกต่างเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้ให้ได้

ผสาน Marketplace เข้ากับกลยุทธ์ Online Marketing อย่างไรให้ปังกว่าเดิม

แค่เอาร้านไปเปิดบน Marketplace ไม่ได้รับประกันความสำเร็จนะครับ เราต้องทำการตลาด ‘บน’ นั้นด้วย ซึ่งต้องลงลึกกว่าแค่การโพสต์สินค้า

  1. ทำให้คนเห็นและหาเจอง่าย (Visibility & Optimization) ต้องเหนือชั้น
    • ปรับแต่งข้อมูลสินค้า (PLO) ให้สุด เรื่องนี้สำคัญเหมือนสร้างหน้าร้านสวยๆ เลย ต้องคิดเยอะกว่าเดิม
      • ชื่อสินค้า ต้องไม่ใช่แค่บอกว่าคืออะไร แต่ต้องใส่ Keyword หลัก Keyword รอง ที่คนไทยใช้ค้นหาจริงๆ อาจต้องลองค้นหาในแพลตฟอร์มดูว่าคนเสิร์ชคำว่าอะไรกันแน่
      • รูปภาพ/วิดีโอ ต้องลงทุนทำให้ดีที่สุด ภาพสวย คมชัด หลายๆ มุม มีภาพตอนใช้งานจริง หรือมีวิดีโอสั้นๆ ประกอบจะช่วยดึงดูดได้มาก
      • รายละเอียดสินค้า ต้องเขียนให้เคลียร์ ครบถ้วน ไม่ใช่แค่ Copy-Paste สเปก แต่ต้องบอกประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ แก้ปัญหาอะไรให้เขาได้บ้าง ใส่ Keyword อย่างเป็นธรรมชาติ และอาจมีภาษาไทย/อังกฤษกำกับสำหรับสินค้าบางประเภท
      • หมวดหมู่ เลือกให้ตรงที่สุด เพื่อให้ลูกค้าที่ค้นหาตามหมวดเจอเราง่ายๆ
    • ทำ SEO ภายในให้เป็น ศึกษาว่าอัลกอริทึมของแต่ละแพลตฟอร์มให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง เช่น คะแนนร้านค้า ความเร็วในการตอบแชท ยอดขายล่าสุด แล้วพยายามปรับปรุงปัจจัยเหล่านั้น
  2. ใช้โฆษณาบนแพลตฟอร์มอย่างชาญฉลาด (Strategic Marketplace Advertising)
    • เข้าใจประเภทโฆษณา แต่ละแพลตฟอร์มมีรูปแบบต่างกัน เช่น Search Ads (โฆษณาตามคำค้น) Discovery Ads (โฆษณาตามความสนใจ/สินค้าคล้ายกัน) หรือโฆษณาบนหน้าฟีด ต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับเป้าหมายและสินค้า
    • บริหารงบและวัดผล ไม่ใช่แค่ลงเงิน แต่ต้องดูผลลัพธ์ด้วยว่าโฆษณาแบบไหน กลุ่มเป้าหมายไหน หรือ Keyword ไหนที่สร้างยอดขายได้จริง แล้วปรับปรุงแคมเปญตลอดเวลา อาจต้องใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์เพิ่มเติมถ้าต้องการข้อมูลเชิงลึก
  3. บริหารรีวิวสร้างความน่าเชื่อถือขั้นสุด (Proactive Review Management)
    • กระตุ้นรีวิวเชิงบวก หาวิธีกระตุ้นให้ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วกลับมารีวิวให้ เช่น ส่งข้อความขอบคุณพร้อมขอรีวิว หรือมีของเล็กๆ น้อยๆ ตอบแทน
    • ตอบกลับทุกเสียง สำคัญมาก โดยเฉพาะรีวิวแง่ลบ ต้องตอบกลับอย่างรวดเร็ว สุภาพ แสดงความเข้าใจ และเสนอทางแก้ปัญหาอย่างจริงใจ การตอบกลับที่ดีจะช่วยเปลี่ยนใจลูกค้าที่ไม่พอใจ หรืออย่างน้อยก็แสดงให้ลูกค้าคนอื่นเห็นว่าเราใส่ใจ
    • นำรีวิวไปปรับปรุง ใช้ข้อติชมจากรีวิวมาพัฒนาสินค้าหรือบริการของเราจริงๆ
  4. เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าเพื่อปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Deeper User Behavior Insights)
    • ข้อจำกัดของ Marketplace ต้องยอมรับว่าข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเชิงลึกบนแพลตฟอร์ม Marketplace เราอาจเข้าถึงได้จำกัดกว่าบนเว็บไซต์ของเราเอง เราอาจเห็นแค่ยอดวิว ยอดคลิก หรือ Conversion Rate โดยรวม แต่ไม่เห็นรายละเอียดว่าลูกค้าเลื่อนดูถึงตรงไหน คลิกอะไรบ้าง หรือลังเลตรงไหนก่อนกดออก
    • ความสำคัญของการวิเคราะห์ ถึงแม้ข้อมูลจะจำกัด การพยายามทำความเข้าใจตัวเลขที่เรามี เช่น สินค้าไหนคนดูเยอะแต่ไม่ซื้อ หรือ Keyword ไหนที่ทำให้คนเจอแต่ไม่คลิก ก็ยังช่วยให้เราปรับปรุงได้ระดับหนึ่ง
    • เชื่อมโยงกับเว็บตัวเอง นี่คือจุดที่เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้อย่างละเอียดบนเว็บไซต์ของเราเอง เช่น เครื่องมือประเภท Web Analytics หรือ Behavior Analytics ที่อาจมีฟีเจอร์อย่าง Heatmaps หรือ Session Replays ซึ่ง https://www.mozflow.com/ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของแหล่งข้อมูลที่นำเสนอเครื่องมือประเภทนี้ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ มันช่วยให้เราเข้าใจลูกค้าในช่องทางที่เราควบคุมได้เต็มที่ แล้วนำความเข้าใจนั้นมาปรับปรุงสินค้า การสื่อสาร หรือแม้แต่วิธีนำเสนอบน Marketplace ให้ดีขึ้นได้ การมีข้อมูลจากหลายๆ แหล่งประกอบกันจะทำให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนกว่า
  5. เชื่อมโยงกับช่องทางอื่นอย่างแนบเนียน (Seamless Omnichannel Integration)
    • สต็อกต้องเป๊ะ ปัญหาใหญ่ของการขายหลายช่องทางคือสต็อกไม่ตรงกัน ต้องมีระบบจัดการสต็อกที่ดี ที่เชื่อมข้อมูลเรียลไทม์ ป้องกันลูกค้าสั่งของที่หมดไปแล้ว
    • บริการต้องต่อเนื่อง ไม่ว่าลูกค้าจะทักแชทบน Marketplace ส่งข้อความใน Facebook หรืออีเมลมาที่เว็บ ต้องมีระบบที่ทำให้ทีมบริการเห็นประวัติการติดต่อและช่วยเหลือได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องให้ลูกค้าเล่าเรื่องซ้ำๆ
    • สร้างแบรนด์ให้เป็นหนึ่งเดียว แม้หน้าตา Marketplace จะปรับแต่งได้จำกัด แต่ Mood & Tone การสื่อสาร รูปภาพ โปรโมชัน ควรไปในทิศทางเดียวกันกับช่องทางอื่นๆ เพื่อสร้างการจดจำแบรนด์

เทรนด์อนาคตที่ต้องจับตา

โลก Marketplace ไม่เคยหยุดหมุน เทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังมาและน่าจะส่งผลต่อธุรกิจไทยแน่ๆ คือ

  • AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทั้งการแนะนำสินค้าแบบรู้ใจ การตอบแชทลูกค้าเบื้องต้น การปรับราคาอัตโนมัติ ไปจนถึงการช่วยเขียนรายละเอียดสินค้า
  • Social Commerce จะยิ่งแรง การซื้อขายผ่านโซเชียลมีเดียจะแนบเนียนไปกับคอนเทนต์มากขึ้น ทั้ง Shoppable Posts Live Shopping ที่มีอินฟลูเอนเซอร์มาช่วยขาย
  • ความยั่งยืนไม่ใช่แค่ทางเลือก ผู้บริโภคไทยเริ่มใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น แบรนด์ที่สื่อสารเรื่องนี้อย่างจริงใจและมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ จะได้ใจลูกค้ากลุ่มนี้ไป
  • ตลาดเฉพาะทาง (Niche Marketplace) อาจเติบโต นอกจากแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ อาจมีตลาดเฉพาะทางสำหรับสินค้าบางประเภทเกิดขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่ลึกขึ้นของลูกค้า

สรุป

Marketplace ได้กลายเป็นสมรภูมิสำคัญของการค้าขายออนไลน์ในประเทศไทยไปแล้ว การเข้ามาขายในช่องทางนี้เปิดโอกาสให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการแข่งขันที่สูงและข้อจำกัดบางประการ

กุญแจสู่ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การเลือกช่องทางใดช่องทางหนึ่ง แต่อยู่ที่ การผสาน Marketplace เข้ากับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์โดยรวมอย่างชาญฉลาด ต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับกติกาของแต่ละแพลตฟอร์ม ลงทุนกับการทำ PLO และโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ ใส่ใจกับการสร้างความน่าเชื่อถือผ่านรีวิวและการบริการ และที่สำคัญคือต้องไม่หยุดเรียนรู้และปรับปรุงอยู่เสมอ โดยใช้ข้อมูลและเครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้ามาช่วยในการตัดสินใจ เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในสนามการค้าดิจิทัลนี้

Previous Article

Affiliate Marketing ประตูสู่รายได้ของธุรกิจไทยยุคดิจิทัล

Next Article

Customer Satisfaction กุญแจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนของธุรกิจไทยในยุคดิจิทัล

Write a Comment

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Subscribe to our Newsletter

Subscribe to our email newsletter to get the latest posts delivered right to your email.
Pure inspiration, zero spam ✨