Diversified Market คืออะไร และทำไมถึงสำคัญมาก

Diversified Market

เคยเป็นไหมครับ? เวลาเราวางแผนอะไรในชีวิต เรามักจะมี “แผนสอง” หรือ “ทางหนีทีไล่” เผื่อไว้เสมอ…เผื่อว่าแผนแรกมันพังไม่เป็นท่า ในโลกธุรกิจ การลงทุน หรือแม้แต่การบริหารประเทศก็เหมือนกันเป๊ะเลยครับ มันมีแนวคิดที่เรียกว่า “Diversified Market” ซึ่งถ้าจะให้พูดภาษาชาวบ้าน มันก็คือ “แผนสำรองชั้นเซียน” ที่จะช่วยให้เราไม่ล้มง่ายๆ แม้จะเจอวิกฤตหนักๆ ก็ตาม

ฟังดูอาจจะเหมือนศัพท์หรูๆ ในห้องเรียนเศรษฐศาสตร์ แต่เอาจริงๆ นะ มันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด และเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจ ประเทศชาติ หรือแม้แต่เงินในกระเป๋าของเราเติบโตได้อย่างมั่นคงท่ามกลางโลกที่หมุนติ้วๆ และเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดฝัน

ว่าแต่เจ้า Diversified Market ที่ว่าเนี่ย มันคืออะไรกันแน่? แล้วบ้านเรามีความหลากหลายแบบนี้กับเขาบ้างหรือเปล่า? ไม่ต้องห่วงครับ วันนี้ Mozflow จะมานั่งคุยเรื่องนี้กันแบบสบายๆ ชวนคิดตามง่ายๆ พร้อมดูตัวอย่างจริงในบ้านเรากันครับ

Diversified Market มันคืออะไรกันแน่

เอาง่ายๆ เลยนะ ลองนึกภาพตาม ถ้าหากว่าเราเป็นเจ้าของสวนผลไม้ ถ้าเราทุ่มสุดตัวปลูกแต่ “ทุเรียน” ที่กำลังนิยมในปีนี้ มองไปทางไหนก็ทุเรียน ขายได้แน่นอน รวย!! แต่พอถึงปีที่ราคาทุเรียนตกต่ำสุดขีด หรือมีโรคระบาดลงสวนพอดีเป็นไงล่ะ? เจ๊งสิครับ รออะไร รายได้หายวับไปกับตา ทุนไม่เหลือ เนื้อก็หาย แต่ถ้าเราไม่ได้ปลูกแค่ทุเรียนล่ะ? ในสวนเรามีทั้งมังคุด เงาะ ลองกอง ลำไย ปลูกคละๆ กันไป ถึงปีนั้นทุเรียนจะราคาไม่ดี เราก็ยังมีผลไม้อื่นๆ ให้เก็บไปขาย สร้างรายได้ประคองตัวไปได้ นี่แหละ คือหัวใจของคำว่า “การกระจายตัว” หรือ Diversification

ในโลกเศรษฐกิจก็ใช้หลักการเดียวกันเป๊ะๆ คือ การไม่เอาชีวิตไปผูกไว้กับอะไรแค่อย่างเดียว แต่เป็นการกระจายความสำคัญ กระจายความเสี่ยง หรือกระจายทรัพยากรออกไปในหลายๆ ส่วน

ในมุมธุรกิจ

นี่คือกลยุทธ์เอาตัวรอดของบริษัทต่างๆ เขาจะไม่ขายของแค่ชนิดเดียว หรือขายให้ลูกค้าแค่กลุ่มเดียว แต่จะแตกไลน์สินค้า ขยายตลาดไปเรื่อยๆ โดยสาเหตุหลักๆ ก็คือ

  • ลดความเสี่ยง ถ้าสินค้าหลักเกิดขายไม่ออก หรือตลาดหลักซบเซา ก็ยังมีตัวอื่นช่วยทำมาหากิน
  • หาโอกาสใหม่ๆ ขยายไปเจอแหล่งเงินใหม่ๆ ลูกค้าใหม่ๆ ทำให้บริษัทโตขึ้นได้อีก

มุมเงินในกระเป๋า

อันนี้ใกล้ตัวเราสุดๆ สุภาษิตการลงทุนสุดคลาสสิกที่ยังใช้ได้เสมอ มันหมายความว่า เราไม่ควรเอาเงินเก็บทั้งชีวิตไปทุ่มกับอะไรอย่างเดียว เช่น ซื้อหุ้นบริษัทเดียวหมดหน้าตัก หรือฝากเงินไว้ที่ธนาคารเดียวทั้งหมด แต่เราควรจะแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ แบบ

  • หุ้น ซื้อความเป็นเจ้าของในบริษัทต่างๆ ลุ้นให้มันเติบโต
  • ตราสารหนี้ เหมือนเราให้รัฐบาลหรือบริษัทใหญ่ๆ ยืมเงิน แล้วรับดอกเบี้ย
  • อสังหาฯ ซื้อที่ดิน คอนโดฯ ปล่อยเช่า
  • ทองคำ สินทรัพย์หลบภัยเวลาเศรษฐกิจผันผวน

หัวใจของมันคือการ ลดความผันผวน ของเงินลงทุนโดยรวม หลักการของมันคือการเลือกของที่ไม่ค่อยจะขึ้น-ลงไปพร้อมกัน พอตัวหนึ่งตก อีกตัวอาจจะขึ้นหรือทรงตัว มันก็จะช่วยประคองให้เงินในพอร์ตของเราไม่เสียหายหนักเกินไป

แม้จะฟังดูดีแต่การกระจายความเสี่ยงแบบนี้ ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ขาดทุนเลยนะ เพียงแค่มันช่วยให้เราไม่ “เจ็บหนัก” จนลุกไม่ขึ้น และทำให้ผลตอบแทนในระยะยาวของเราดูดีและสม่ำเสมอขึ้น

มุมเศรษฐกิจประเทศ

ในระดับประเทศ การกระจายตัวหมายถึง ประเทศไม่ได้พึ่งพารายได้จากอุตสาหกรรมเดียว ลองนึกภาพประเทศที่รวยจากการขาย “น้ำมัน” อย่างเดียวสิครับ ถ้าวันดีคืนดีราคาน้ำมันโลกดิ่งเหว หรือคนทั้งโลกเลิกใช้น้ำมัน ประเทศนั้นก็อาจจะล้มทั้งยืนได้เลย แต่ถ้าประเทศมีทั้งการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง มีการส่งออกสินค้าเกษตรที่หลากหลาย หรือแม้แต่มีโรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภท และมีภาคบริการที่ทันสมัย ต่อให้มีพระเอกสักตัว (เช่น ท่องเที่ยว) ป่วยไป ก็ยังมีพระเอกคนอื่นๆ ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้

Diversified Market กับประเทศไทย

ฟังดูเป็นเรื่องไกลตัวจัง แล้วบ้านเราล่ะ? ประเทศไทยมีอะไรแบบนี้กับเขาบ้างไหม? คำตอบคือ “มี” และมีในหลายระดับเลยด้วย

ประเทศไทยไม่ได้มีดีแค่ทุ่งข้าวอีกต่อไป

จากที่เคยเป็นประเทศเกษตรกรรมเต็มตัว ตอนนี้เศรษฐกิจไทยมี “เครื่องยนต์” หลายตัวช่วยกันทำงานครับ ภาคบริการ เช่น ท่องเที่ยว และการเงิน กลายเป็นพี่ใหญ่สุด ตามมาด้วยภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือ อิเล็กทรอนิกส์ และภาคเกษตรกรรม ถึงแม้จะสัดส่วนน้อยลงแต่ก็ยังสำคัญ แถมภาครัฐยังพยายาม “อัปเกรดประเทศ” ด้วยนโยบาย “S-Curve” ที่จะผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV และการแพทย์ครบวงจร หรือแม้แต่หุ่นยนต์เพื่อให้เรามี “พระเอกคนใหม่” มาช่วยสร้างรายได้ในอนาคต

กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ก็ทำแบบนี้

พูดถึงบริษัทใหญ่ๆ ในไทย…นึกถึงใครกันบ้าง? แน่นอนว่าต้องมีชื่อของ CP, SCG, BJC, หรือ Minor กลุ่มบริษัทเหล่านี้ไม่ได้ทำธุรกิจแค่อย่างเดียว แต่แตกหนวดออกไปหลากหลายวงการมาก

  • เครือ CP เริ่มจากอาหารสัตว์ ตอนนี้มีทั้ง 7-Eleven, Makro, Lotus’s, True เรียกว่าตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบของจริง
  • เครือซิเมนต์ไทย ไม่ได้มีแค่ปูนตราช้าง แต่ขยายไปทำเคมีภัณฑ์และธุรกิจแพคเกจจิ้ง จนแข็งแกร่งมาก
  • ไมเนอร์ เจ้าของโรงแรมหรูอย่าง Anantara และเจ้าของร้านอาหารที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง The Pizza Company, Swensen’s, Sizzler

เมื่อมีของเยอะ จะโปรโมตยังไง

หัวใจของการตลาดสำหรับบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลาย คือ “การตลาดแบบเจาะจงและเชื่อมโยง” ไม่ใช่การหว่านแหไปทั่ว แต่เป็นการใช้ความหลากหลายนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งทำได้หลายกลยุทธ์

การแบ่งส่วนตลาดและกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน

นี่คือพื้นฐานที่สุดครับ เมื่อมีสินค้าหลายประเภท ย่อมหมายความว่ามี “กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย” หลายกลุ่ม บริษัทจะทำการตลาดแบบเดียวกันสำหรับทุกสินค้าไม่ได้

  • ตัวอย่าง เครือไมเนอร์ (Minor)
  • ธุรกิจโรงแรม ทำการตลาดเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง เน้นช่องทางนิตยสารท่องเที่ยวระดับโลก, เอเจนซี่ทัวร์หรู, และการตลาดดิจิทัลที่เน้นภาพลักษณ์ความพรีเมียม
  • ธุรกิจอาหาร  ทำการตลาดเจาะกลุ่มครอบครัวและวัยรุ่น (Mass Market) เน้นโปรโมชัน “1 แถม 1”, โฆษณาทางทีวีและโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงคนหมู่มาก

จะเห็นว่าทั้งสองธุรกิจใช้ข้อความ และช่องทาง และรวมไปถึงโปรโมชัน ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพื่อพูดคุยกับลูกค้าคนละกลุ่ม

กลยุทธ์การตลาดข้ามสายผลิตภัณฑ์

นี่คือ “พลังวิเศษ” ของบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลาย คือการใช้ธุรกิจหนึ่งเพื่อช่วยโปรโมตอีกธุรกิจหนึ่ง ทำให้ต้นทุนการตลาดคุ้มค่าและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

  • เครือซีพี คุณอาจจะซื้อของใน 7-11 แล้วได้รับสิทธิ์แลกซื้อสินค้าของ CPF หรือได้รับโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้า True นี่คือการใช้ฐานลูกค้าของธุรกิจหนึ่ง มาสร้างประโยชน์ให้อีกธุรกิจหนึ่ง
  • Amazon.com เมื่อคุณเป็นสมาชิก Amazon Prime เพื่อการส่งของที่รวดเร็ว คุณจะได้รับสิทธิ์ดู Prime Video ไปด้วย นี่คือการดึงให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการอื่นในเครือ และผูกติดกับแบรนด์มากขึ้น

การบริหารแบรนด์ที่หลากหลาย

บริษัทต้องเลือกว่าจะจัดการกับแบรนด์ในเครืออย่างไร ซึ่งโดยหลักๆ มี 2 แนวทางคือ

Branded House

  • ใช้ชื่อแบรนด์หลักนำหน้าทุกผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ทุกอย่างอยู่ใต้ร่มเงาของแบรนด์แม่ที่แข็งแกร่ง
  • Apple เราจะเห็นชื่อ Apple นำหน้าเสมอ เช่น Apple Music, Apple Watch, Apple TV+ กลยุทธ์นี้ช่วยให้สินค้าใหม่ได้รับความน่าเชื่อถือจากแบรนด์แม่ทันที

House of Brands

สร้างแบรนด์ลูกที่แข็งแกร่งและมีตัวตนชัดเจนสำหรับแต่ละตลาด โดยที่ผู้บริโภคอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นของบริษัทเดียวกัน

  • SCG มีแบรนด์ “ตราช้าง” สำหรับวัสดุก่อสร้าง แต่ก็มีแบรนด์อื่นๆ สำหรับสินค้าเฉพาะกลุ่ม
  • เครือไมเนอร์ ที่คนทั่วไปรู้จักแบรนด์ “The Pizza Company” หรือ “Anantara” มากกว่าชื่อ “ไมเนอร์” กลยุทธ์นี้ช่วยให้แต่ละแบรนด์เจาะตลาดของตัวเองได้อย่างอิสระ

การตลาดแบบเจาะจงพื้นที่

เมื่อบริษัทขยายไปต่างประเทศ การตลาดต้องถูก “Localize” หรือปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมและความต้องการของคนในพื้นที่นั้นๆ เช่น รสชาติของพิซซ่า โปรโมชัน หรือแม้แต่นักแสดงในโฆษณาของ The Pizza Company ในประเทศไทย ย่อมแตกต่างจากในประเทศเวียดนามหรือซาอุดีอาระเบีย เพื่อให้โดนใจผู้บริโภคท้องถิ่นมากที่สุด

การสร้าง Ecosystem เพื่อ “ล็อก” ลูกค้า

นี่คือขั้นสุดยอดของการตลาดในยุคดิจิทัล คือการใช้สินค้าและบริการที่หลากหลายสร้างเป็น “ระบบนิเวศ” ที่ลูกค้าเข้ามาแล้วใช้ชีวิตอยู่ข้างในได้อย่างครบวงจร ทำให้ลูกค้าภักดีต่อแบรนด์และใช้จ่ายกับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง

  • Apple และ Amazon คือเจ้าแห่งกลยุทธ์นี้ เมื่อคุณใช้ iPhone คุณจะเริ่มใช้ iCloud, ซื้อแอปใน App Store, ฟัง Apple Music เมื่อทุกอย่างเชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ การจะย้ายไปใช้แบรนด์อื่นจึงเป็นเรื่องยากและไม่สะดวก

สรุป

Diversified Market คือ กลยุทธ์การกระจายความสำคัญและทรัพยากรออกไปในหลายๆ ส่วน เพื่อลดความเสี่ยง สร้างความมั่นคง และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในโลกที่ไม่แน่นอน สำหรับประเทศไทย การมีโครงสร้างเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุนที่หลากหลาย ถือเป็นรากฐานที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม โจทย์สำคัญต่อไปไม่ใช่แค่การ “มีเยอะ” แต่คือการพัฒนาให้ “มีคุณภาพ” สร้างการเติบโตที่ทั่วถึงและเป็นธรรม เพื่อนำไปสู่อนาคตที่มั่นคงและมั่งคั่งสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง

 

Previous Article

เหตุผลที่ธุรกิจรับสร้างบ้านควรใช้ MozFlow คืออะไร?

Next Article

ทำไมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยุคนี้ ถึงต้องใช้ MozFlow?

Write a Comment

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Subscribe to our Newsletter

Subscribe to our email newsletter to get the latest posts delivered right to your email.
Pure inspiration, zero spam ✨