Remarketing คืออะไร สำคัญแค่ไหนกับการทำการตลาด

เข้าใจเทคนิค Remarketing เจาะลึกวิธีดึงใจลูกค้าเก่า-ใหม่ ช่วยเพิ่มยอดขาย รู้ครบตั้งแต่ขั้นตอนถึงเคล็ดลับที่ต้องรู้

Table of Contents

 

ในการทำธุรกิจออนไลน์ยุคปัจจุบัน “Remarketing”  คือหนึ่งในเครื่องมือการตลาดดิจิทัลที่หลายแบรนด์ต่างให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะการแข่งขันในตลาดออนไลน์มีความเข้มข้นสูง ผู้บริโภคใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็ตัดสินใจว่าจะอยู่ในเว็บไซต์ของคุณต่อหรือจากไป เมื่อผู้ใช้งานออกจากเว็บไซต์โดยยังไม่ทำการสั่งซื้อ ไม่สมัครสมาชิก หรือไม่กรอกข้อมูลตามที่แบรนด์ต้องการ การดึงดูดให้พวกเขากลับมาอีกครั้งจึงเป็นสิ่งท้าทาย Remarketing จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่ “มีแนวโน้ม” จะสนใจสินค้าหรือบริการอยู่แล้วให้หันกลับมามีปฏิสัมพันธ์และดำเนินการตามเป้าหมายที่ต้องการ

Remarketing คืออะไร

Remarketing คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณมาก่อน เพื่อดึงดูดให้พวกเขากลับมาดำเนินการตามเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการ โดยมีการเก็บพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ผ่านเทคโนโลยีอย่างคุกกี้ (Cookies) หรือพิกเซล (Pixels) จากนั้นจะส่งโฆษณาหรือสารการตลาดต่าง ๆ กลับไปให้ผู้ใช้งานกลุ่มดังกล่าวเห็นอีกครั้ง ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Google Ads, Facebook Ads, Amazon Ads หรือเครือข่ายเว็บไซต์พันธมิตร (Display Network) อื่น ๆ เพราะผู้ใช้งานเหล่านี้เคย “แสดงเจตนา” หรือให้ความสนใจเบื้องต้นมาแล้ว ทำให้โอกาสที่พวกเขาจะตัดสินใจซื้อหรือทำปฏิสัมพันธ์ต่อจึงสูงกว่ากลุ่มเป้าหมายใหม่ หรือ Cold Audience ที่ไม่เคยรู้จักแบรนด์มาก่อน

ทำไม Remarketing จึงมีความสำคัญ

เหตุผลหลักที่ทำให้ Remarketing กลายเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มยอดขายและรักษาลูกค้าของธุรกิจออนไลน์ จะมีอะไรบ้างไปชมพร้อมกันได้เลย

ช่วยเพิ่มอัตราการปิดการขาย

ในขณะที่การตลาดทั่วไปอาจยิงโฆษณาไปยังคนจำนวนมากที่ไม่เคยสนใจมาก่อน การทำ Remarketing พุ่งเป้าไปยังผู้ที่มีโอกาสซื้อสูงกว่า ทำให้อัตราการซื้อหรือปฏิสัมพันธ์เพิ่มขึ้น

กระตุ้นให้ลูกค้าจดจำแบรนด์

ผู้บริโภคยุคดิจิทัลเห็นโฆษณาหลายสิบหรือหลายร้อยชิ้นต่อวัน การทำ Remarketing อย่างพอเหมาะพอควรจะช่วยให้แบรนด์อยู่ในความสนใจของพวกเขาและถูกเลือกก่อนคู่แข่ง

ใช้ต้นทุนโฆษณาได้คุ้มค่ามากขึ้น

แทนที่จะยิงโฆษณาหาคนวงกว้างที่ไม่สนใจ การส่งสารให้กลุ่มที่เคยมีปฏิสัมพันธ์มาก่อน ทำให้ต้นทุนต่อคลิก (CPC) หรือต้นทุนต่อการซื้อ (CPA) ลดลง

ปรับใช้ได้หลายรูปแบบ

ไม่ว่าจะเป็น Remarketing ผ่านเว็บ หรือ ผ่านแอปต่าง ๆ หรือไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ Dynamic Remarketing , Search Remarketing , Email Remarketing หรือ Social Media Remarketing ธุรกิจก็สามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจคุณ

สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง และมั่นคงในระยะยาว

การสื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่องจะช่วยสร้าง Brand Loyalty และอาจนำมาสู่การบอกต่อของลูกค้าเอง

ขั้นตอนการทำงานของ Remarketing

การแบ่งกลุ่มเป้าหมาย ต่อไปนี้จะเป็นการแนะนำให้ทำความเข้าใจตั้งแต่การเก็บข้อมูล การสร้างกลุ่มเป้าหมาย ไปจนถึงกระบวนการวัดผลและปรับปรุงแคมเปญ อาจจะสามารถนำไปปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณได้

เก็บข้อมูลผู้ใช้งานผ่านคุกกี้ หรือ Pixel

การแบ่งกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ Remarketing เพราะจะช่วยให้คุณสามารถส่งสารหรือโฆษณาได้อย่างเฉพาะเจาะจงและตรงประเด็นมากขึ้น ตัวอย่างกลุ่มเป้าหมายที่สามารถแบ่งได้ตามพฤติกรรม ได้แก่

กลุ่มที่ดูสินค้า A แต่ยังไม่ซื้อ

ผู้ใช้งานกลุ่มนี้มีความสนใจในสินค้าเฉพาะอย่างชัดเจนแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ จึงอาจนำเสนอโปรโมชั่นเสริม ข้อมูลเปรียบเทียบสินค้า หรือรีวิวจากผู้ใช้จริงเพื่อกระตุ้นให้ตัดสินใจ

กลุ่มที่ใส่สินค้าไว้ในตะกร้าแล้วออกจากระบบ

กลุ่มนี้มีแนวโน้มพร้อมซื้อสูง เพราะเลือกสินค้าใส่ตะกร้าไปแล้วแต่เกิดการตัดสินใจบางอย่างขาดหายไป การ Remarketing อาจใช้วิธีส่งคูปองส่วนลดหรือแจ้งเตือนให้กลับมาชำระเงิน

กลุ่มที่เคยซื้อสินค้าไปแล้วแต่สนใจบริการเสริมเพิ่มเติม

หลังจากลูกค้าซื้อสินค้าไปแล้ว อาจมีความสนใจอุปกรณ์เสริม หรือบริการอื่นที่เกี่ยวข้อง การ Remarketing สามารถเสนอสินค้า Cross-sell หรือ Upsell เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะยาว

เลือกใช้แพลตฟอร์ม

เมื่อแบ่งกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการส่งสารให้ถึงพวกเขาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลือกใช้แพลตฟอร์ม Remarketing ที่เหมาะสม เช่น

  • Google Ads ควบคุมโฆษณาบนเครือข่ายการค้นหา (Search Network) และเครือข่ายดิสเพลย์ (Display Network)
  • Facebook Ads เข้าถึงผู้ใช้งานผ่าน Facebook, Instagram หรือ Audience Network
  • เครือข่ายโฆษณาอื่น ๆ อาจเลือกใช้ Ad Network ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะทางหรือตรงกับอุตสาหกรรมของคุณ

ปรับแต่งเนื้อหาโฆษณา

การประเมินผลเป็นสิ่งสำคัญเพื่อดูว่าแคมเปญ ของคุณคุ้มค่าและตอบโจทย์หรือไม่ โดยอาจติดตามตัวชี้วัดหลัก เช่น

  • CTR วัดความน่าสนใจของโฆษณา
  • Conversion Rate บ่งบอกว่ามีผู้ใช้งานดำเนินการตามเป้าหมายมากน้อยเพียงใด
  • CPA หรือ ROAS วัดความคุ้มค่าของเม็ดเงินที่ลงทุนไป
    เมื่อได้ข้อมูลแล้ว ควรนำมาปรับกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขเนื้อหาโฆษณา ปรับกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติม หรือตั้งงบประมาณใหม่ เพื่อให้แคมเปญ Remarketing มีประสิทธิภาพสูงสุดในระยะยาว

รูปแบบของ Remarketing ที่พบบ่อย

เชื่อว่าคุณคงเคยเห็นรูปแบบของการทำ Remarketing มากมายหลากหลายประเภท และเราจะคัดสิ่งที่คุณเห็นบ่อยมาเจาะลึกให้ดู

Standard Remarketing

เป็นการแสดงโฆษณารูปภาพหรือข้อความทั่วไปให้กับผู้ที่เคยเข้าชมหรือโต้ตอบกับเว็บไซต์ของเรา โดยเมื่อผู้ใช้งานท่องเว็บไซต์อื่นในเครือข่ายโฆษณา พวกเขาจะเห็นโฆษณาของเราปรากฏซ้ำ ซึ่งช่วยตอกย้ำแบรนด์และกระตุ้นให้กลับมาดำเนินการต่อ

Dynamic Remarketing

เน้นการ “เลือก” สินค้าหรือบริการที่ผู้ใช้งานเคยสนใจมาแสดงผลแบบเจาะจง เช่น หากผู้ใช้เคยดูรองเท้ารุ่นหนึ่ง ระบบจะดึงข้อมูลสินค้านั้น ๆ หรือสินค้าที่คล้ายกันขึ้นมาโปรโมตอีกครั้ง ทำให้โฆษณามีความเฉพาะตัว และเพิ่มโอกาสในการซื้อ

Search Remarketing

ในกรณีของ Google Ads สามารถตั้งค่าให้ผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเห็นโฆษณาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เมื่อพวกเขาค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในภายหลัง เป็นการใช้พฤติกรรมการค้นหาประกอบกับประวัติการเข้าชม เพื่อแสดงโฆษณาที่ตรงกับความต้องการมากยิ่งขึ้น

Email Remarketing

อาศัยฐานข้อมูลอีเมลของลูกค้าหรือผู้ที่เคยลงทะเบียนสมัครผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ส่งอีเมลแจ้งเตือนสินค้าในตะกร้าที่ค้างอยู่ หรืออีเมลเสนอโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาเช็กเอาต์หรือพิจารณาสินค้าอีกครั้ง

Social Media Remarketing

ใช้พิกเซลติดตามผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ และนำเสนอคอนเทนต์หรือโฆษณาเฉพาะบุคคลผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, Twitter, LinkedIn เป็นต้น ช่วยตอกย้ำแบรนด์ในที่ที่ผู้ใช้งานใช้เวลาอยู่บ่อย ๆ และกระตุ้นให้กลับมาดำเนินการต่อได้ง่ายขึ้น

เคล็ดลับในการทำ Remarketing ให้ได้ผลสูงสุด

หลายคนเข้าใจว่า “Remarketing” คือการยิงโฆษณาซ้ำไปยังกลุ่มคนเดิมเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว กลยุทธ์นี้มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนกว่าที่คิด เพื่อให้การ Remarketing ของคุณเปลี่ยน “ว่าที่ลูกค้า” ให้กลายเป็น “ลูกค้าตัวจริง” อย่างได้ผล ลองมาดูเคล็ดลับที่ช่วยปรับแต่งแคมเปญของคุณให้ทรงพลังและคุ้มค่ายิ่งขึ้น

กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน

ต้องรู้ว่าต้องการผลลัพธ์อะไรจากการ Remarketing เช่น เพิ่มยอดขาย เพิ่มสมาชิก หรือเพิ่มการรับรู้แบรนด์ เพราะเมื่อเป้าหมายชัดเจน การวัดผลและการปรับกลยุทธ์จะง่ายขึ้น

ออกแบบโฆษณาให้ดึงดูดและตรงใจ

  • ใช้ภาพและข้อความที่สอดคล้องกับแบรนด์
  • ระบุจุดขายหรือโปรโมชั่นให้ชัดเจน
  • ใส่ Call to Action (CTA) ที่ชัดเจน เพื่อกระตุ้นการคลิกและเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย

ตั้งค่าควบคุมความถี่ในการแสดงโฆษณา

ไม่ควรยิงโฆษณาบ่อยเกินไปจนผู้ใช้งานรำคาญ ควรตั้งค่าความถี่ที่เหมาะสมในแต่ละวันหรือแต่ละบุคคล เพื่อป้องกันผลลัพธ์เชิงลบต่อภาพลักษณ์แบรนด์

บริหารระยะเวลาการเก็บข้อมูล

กำหนดช่วงเวลาที่จะติดตามผู้ใช้งาน เช่น 30 วัน 60 วัน หรือ 90 วัน โดยคำนึงถึงรอบการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ หากเป็นสินค้าที่มีการตัดสินใจนาน อาจต้องขยายระยะเวลาให้เหมาะสม

ติดตามและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

วัดผล เป็นประจำ เพื่อดูว่าส่วนใดต้องปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาโฆษณา หรือ กลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงระยะเวลาที่ใช้ Remarketing หากวางแผนอย่างมีระบบ คุณจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญได้ในระยะยาว

ความแตกต่างระหว่าง Remarketing กับ Retargeting

หลายครั้งมีการใช้คำว่า “Remarketing” และ “Retargeting” สลับกันไปมา แต่หากมองในรายละเอียดเชิงเทคนิค Retargeting จะเน้นไปที่การติดตามผู้ใช้ผ่านเครือข่ายโฆษณาออนไลน์ (เช่น Display Ads, Social Ads) เป็นหลัก โดยอาศัยการวางคุกกี้หรือพิกเซลเพื่อ “ตาม” ผู้ใช้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บหรือคลิกดูสินค้าให้เจอโฆษณาซ้ำ

Remarketing นั้นบางครั้งถูกใช้ในความหมายที่กว้างกว่า ซึ่งอาจรวมถึงการติดตามลูกค้าผ่าน อีเมล อีเวนต์ การอัปเดตโปรโมชั่น หรือการสื่อสารเชิงรุกในรูปแบบต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น การส่งอีเมลแจ้งเตือนลูกค้าว่ายังมีสินค้าค้างอยู่ในตะกร้า หรือส่งโปรโมชันพิเศษไปยังลูกค้าเก่าเพื่อให้กลับมาซื้อซ้ำ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ในแวดวงการตลาดออนไลน์ปัจจุบัน บางธุรกิจก็อาจใช้คำว่า Remarketing และ Retargeting แทนกันได้ เนื่องจากมีจุดมุ่งหมายเหมือนกัน คือการ “ส่งสารซ้ำให้กับผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์มาก่อน” แต่ความแตกต่างเชิงกลยุทธ์ก็คือ

  • Retargeting = การตามผู้ใช้งานด้วยโฆษณาบนเครือข่ายออนไลน์
  • Remarketing = การนำข้อมูลมาใช้สื่อสารซ้ำผ่านช่องทางที่หลากหลาย

การนำ Remarketing ไปประยุกต์ใช้

Remarketing สามารถประยุกต์ใช้ได้ในแทบทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นยอดขายในอีคอมเมิร์ซ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาจองตั๋ว หรือต่อยอดให้ลูกค้า B2B ไว้วางใจซื้อโซลูชันระยะยาว จุดเด่นคือ “การส่งสารซ้ำ” ไปหาผู้ที่เคยสนใจสินค้า/บริการแล้วแต่ยังไม่ตัดสินใจ ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมจะมีรูปแบบการนำ Remarketing ไปใช้งานต่างกันออกไป

อีคอมเมิร์ซ

ร้านค้าออนไลน์มักใช้ Dynamic Remarketing เพื่อนำภาพสินค้าหรือโปรโมชันที่ลูกค้าเคยดู หรือสินค้าที่ค้างอยู่ในตะกร้ามาแสดงซ้ำ และอาจมอบคูปองส่วนลดเพิ่มเติมเพื่อเร่งกระบวนการตัดสินใจ

ธุรกิจท่องเที่ยว

เว็บไซต์จองตั๋วเครื่องบินหรือที่พัก มักใช้ Remarketing เพื่อนำเสนอแพ็กเกจหรือโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะสำหรับเส้นทางหรือโรงแรมที่ผู้ใช้เคยสนใจ ช่วยให้ผู้ใช้กลับมาดูดีลอีกครั้งและตัดสินใจจองได้ง่ายขึ้น

ธุรกิจ B2B

ในโลก B2B การตัดสินใจซื้ออาจใช้เวลานานหลายเดือน การทำ Remarketing เพื่อให้แบรนด์หรือโซลูชันยังคงอยู่ในสายตาของผู้มีอำนาจตัดสินใจ จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยย้ำความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์หรือบริการ

การศึกษา

หากมีผู้ใช้เคยดูรายละเอียดหลักสูตรแต่ยังไม่สมัคร อาจทำ Remarketing เพื่อแนะนำคอร์สทดลอง หรือมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ให้พวกเขาลองเรียนก่อน ช่วยกระตุ้นให้ตัดสินใจสมัครเรียนเต็มรูปแบบในที่สุด

ข้อควรระวังในการทำ Remarketing

แม้ “Remarketing” จะเป็นกลยุทธ์ทรงพลังในการเรียกลูกค้ากลับมา แต่หากดำเนินการผิดพลาด ก็อาจสร้างผลลัพธ์เชิงลบทั้งในแง่ของชื่อเสียงแบรนด์และความน่าเชื่อถือ การวางแผนอย่างรอบคอบและเคารพผู้ใช้งานจึงเป็นเรื่องจำเป็น มาดูข้อควรระวังสำคัญที่ทุกแบรนด์ต้องรู้ก่อนเปิดใช้แคมเปญ Remarketing

ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว

การเก็บข้อมูลควรเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับ เช่น GDPR ในยุโรป หรือ PDPA ในประเทศไทย ควรแจ้งให้ผู้ใช้งานทราบ และเปิดโอกาสให้พวกเขาจัดการคุกกี้หรือเลือกที่จะปฏิเสธได้

เนื้อหาโฆษณาไม่ล่อแหลมเกินไป

หลีกเลี่ยงข้อความหรือภาพที่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวมากเกินไป เช่น “คุณลืมซื้อสินค้านี้อยู่ใช่ไหม?” จนสร้างความอึดอัดให้ผู้ใช้งาน การสื่อสารที่สุภาพและเคารพผู้ใช้จะช่วยรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์

วางเป้าหมายที่เหมาะสมกับธุรกิจ

ไม่จำเป็นต้องใช้ Remarketing ทุกรูปแบบ บางธุรกิจอาจเหมาะกับ Dynamic Remarketing บางธุรกิจอาจใช้ Social Media Remarketing เป็นต้น ควรพิจารณาจุดประสงค์ งบประมาณ และลักษณะลูกค้าเป้าหมายเป็นหลัก

แบรนด์ระดับโลกกับการทำ Remarketing

แบรนด์ชั้นนำระดับโลกต่างพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “Remarketing” ไม่ใช่แค่การตามให้ลูกค้าเห็นโฆษณาเดิม ๆ แต่เป็นการนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาปรับใช้ให้เฉพาะเจาะจงได้สำเร็จ ด้านล่างนี้คือ Case Studies ของบริษัทระดับโลก ที่ใช้ Remarketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพจนสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

Airbnb – Case Study

ใช้ Dynamic Remarketing โดยดึงข้อมูลการค้นหาที่พักของผู้ใช้ เช่น หากเคยสนใจที่พักในโตเกียว ระบบจะนำเสนอที่พักตรงสเปกหรือช่วงราคาเดิมอีกครั้ง ทำให้อัตราการคลิก พุ่งสูงขึ้น จนผู้ใช้หวนกลับมาจองได้สำเร็จ

Amazon – Case Study

มีระบบ Recommendation และ Remarketing ขั้นสูง หากผู้ใช้ดูสินค้าหรือหยิบใส่ตะกร้าแต่ยังไม่ซื้อ ข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไปใช้นำเสนอสินค้านั้นซ้ำ หรือเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้อง ช่วยให้ Amazon รักษา Conversion Rate ในระดับสูงและลดอัตราการละทิ้งการซื้อ

Netflix – Case Study

นำเสนอ Email Remarketing และ Social Media Remarketing กระตุ้นผู้ใช้งานที่เคยสมัครทดลอง หรือยกเลิกไปแล้วให้กลับมา โดยจะแนะนำรายการหรือภาพยนตร์ใหม่ ๆ ที่คาดว่าจะถูกใจ ช่วยลดการยกเลิกสมาชิก และเพิ่มโอกาสที่สมาชิกเก่าจะกลับมาใช้บริการ

Booking.com – Case Study

ใช้ Remarketing ผสมผสานเทคนิค “ความเร่งด่วน” อย่าง “ห้องพักเหลือเพียง 2 ห้อง” หรือ “มีคนกำลังดูห้องนี้อยู่” จูงใจให้ผู้ใช้รีบจองโดยไม่รอช้า เป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการซื้อทันที ช่วยดัน Conversion Rate ให้สูงขึ้น และลดการละทิ้งการจองกลางคัน

สรุป

การทำ Remarketing เป็นกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มยอดขาย สร้าง Brand Awareness และกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมามีส่วนร่วมได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยขั้นตอนการเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน การแบ่งกลุ่มเป้าหมาย และการสื่อสารซ้ำอย่างตรงจุด ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจความต้องการของพวกเขา และพร้อมมอบข้อเสนอที่ตอบโจทย์ได้จริง

Previous Article

Inbound Marketing คืออะไร เหมาะกับธุรกิจแบบไหน

Next Article

STP คืออะไร สำคัญมากแค่ไหนกับการทำการตลาด

Write a Comment

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Subscribe to our Newsletter

Subscribe to our email newsletter to get the latest posts delivered right to your email.
Pure inspiration, zero spam ✨