STP คืออะไร สำคัญมากแค่ไหนกับการทำการตลาด

STP เป็นมากกว่ากระบวนการทำการตลาด ที่ช่วยให้องค์กรเข้าใจลูกค้า เลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ และสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่แตกต่างได้อย่างยั่งยืน

บทความนี้จะพาผู้อ่านไปสำรวจแง่มุมต่าง ๆ ของแนวคิด STP ในเชิงกลยุทธ์ โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแต่ละขั้นตอน วิธีประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และการผนวกรวมเข้ากับแนวคิดการตลาดยุคใหม่ เพื่อให้สามารถสร้าง “คุณค่า”  ให้กับทั้งองค์กรและผู้บริโภคอย่างสมดุล

STP คืออะไร ในเชิงยุทธศาสตร์

STP คือ Segmentation (การแบ่งส่วนตลาด) Targeting (การเลือกกลุ่มเป้าหมาย) และ Positioning (การกำหนดตำแหน่งในตลาด) จะเป็นที่กล่าวถึงบ่อยครั้งในตำราการตลาด แต่วิธีการนำไปประยุกต์ใช้ในโลกธุรกิจจริงนั้นก็ยังคงต้องการความเข้าใจเชิงลึกที่มากกว่าแค่ทฤษฎี เมื่อกล่าวถึง STP ในเชิงยุทธศาสตร์ สิ่งแรกที่ควรทำความเข้าใจคือเป้าหมายหลักที่แท้จริงของกระบวนการนี้ สำหรับองค์กรธุรกิจสมัยใหม่ STP ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการจัดกลุ่มลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็น กลยุทธ์หัวใจสำคัญ ที่จะกำหนดว่าธุรกิจควรเดินไปทางไหน มีจุดแข็งอะไร และจะสื่อสารคุณค่า อย่างไรจึงจะตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเป้าหมาย

Segmentation

แม้เป็นขั้นแรกของ STP แต่ก็เป็นเหมือน “แผนที่” ที่ช่วยให้ธุรกิจเห็นภูมิทัศน์ของตลาดโดยรวมได้ชัดขึ้น องค์กรสามารถมองออกว่า ตลาดไม่ได้มีผู้บริโภคแบบเดียวกันทั้งหมด แต่มีความแตกต่างทางพฤติกรรม การใช้ชีวิต และรสนิยมหลายมิติ ซึ่งมุมมองนี้เองทำให้เราสามารถวิเคราะห์ต่อว่า ควรเลือกเจาะลึกกลุ่มลูกค้ารูปแบบไหน

Targeting

คือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ว่าจะเลือกลงทุนและโฟกัสไปที่กลุ่มใดบ้าง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่เลือกในขั้นตอนนี้จะมีผลอย่างมากต่อทั้งผลิตภัณฑ์ การสื่อสารทางการตลาด รวมถึงภาพลักษณ์แบรนด์ การตัดสินใจที่แม่นยำย่อมมาจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ากลุ่มเป้าหมายที่เลือกนั้น ต้องการอะไร และ ยินดีจ่าย เพื่ออะไร

Positioning

เป็นขั้นตอนสำคัญที่องค์กรจะกำหนด “บทบาท” และ “ภาพลักษณ์” ของตนเองในตลาด บ่อยครั้งที่ธุรกิจมองว่าการกำหนดตำแหน่งเป็นแค่การสร้างสโลแกนหรือสร้างแบรนด์ แต่แท้จริงแล้ว Positioning ยังหมายถึงการกำหนด คุณค่าหลัก ของสินค้าหรือบริการ และการสื่อสารกับผู้บริโภคว่า “ทำไมพวกเขาจึงควรเลือกแบรนด์เราเหนือคู่แข่ง”

เมื่อทั้งสามส่วนนี้ทำงานประสานกันอย่างมีระบบ STP จึงไม่ใช่แค่กระบวนการทางการตลาด แต่ยังเป็น หนึ่งในแกนกลางของการวางแผนธุรกิจ เลยทีเดียว

เจาะลึก Targeting วิธีการเลือกกลุ่มลูกค้าที่ “คุ้มค่า” ที่สุด

ในที่นี้เราจะให้ความสำคัญกับ Targeting เป็นพิเศษ เพราะเมื่อเราได้ข้อมูลเชิงลึกจากการแบ่งกลุ่มตามปัจจัยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงประชากรศาสตร์ พฤติกรรม หรือจิตวิทยา ธุรกิจต้องคัดเลือกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือหลายกลุ่ม ในกรณีที่ธุรกิจขนาดใหญ่และมีทรัพยากรมากพอ เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดได้อย่างเฉพาะเจาะจง

เกณฑ์การเลือก Target

  • ความน่าสนใจของตลาด (Market Attractiveness) ความน่าสนใจของตลาด หมายถึงโอกาสทางการตลาดโดยรวมในกลุ่มเป้าหมาย เช่น ขนาดของกลุ่มลูกค้า การเติบโต และระดับการแข่งขันในตลาด ฯลฯ กลุ่มที่มีจำนวนมากและมีกำลังซื้อสูงอาจดึงดูดนักการตลาดได้ดี แต่ก็ต้องตรวจสอบว่าคู่แข่งมีมากหรือน้อยเพียงใดด้วย
  • ความเหมาะสมกับศักยภาพองค์กร (Organizational Capability Fit) แม้ว่ากลุ่มเป้าหมายจะใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าองค์กรไม่มีความสามารถหรือทรัพยากรที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มนั้นได้ การเข้าไปบุกตลาดนั้นอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้ม และยังเสี่ยงต่อการถูกคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าแย่งลูกค้าได้
  • โอกาสในการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) กลุ่มเป้าหมายที่ถูกมองข้ามหรือไม่มีแบรนด์ใด ๆ ตอบสนองความต้องการอย่างแท้จริง มักจะเป็นจุดที่องค์กรสามารถสร้างแบรนด์ได้รวดเร็วและแข็งแกร่ง การเลือกกลุ่มที่ยังไม่มีคู่แข่งจำนวนมากจึงเปิดโอกาสให้เกิดความโดดเด่น
  • ความคุ้มค่าทางการเงิน (Profitability) กลุ่มเป้าหมายต้องมีศักยภาพในการสร้างกำไรให้ธุรกิจ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ธุรกิจบางแห่งอาจยอมรับกำไรในระดับต่ำในระยะสั้น เพื่อสร้างฐานลูกค้าให้เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว แต่ท้ายที่สุดควรมีการคำนวณความคุ้มทุน (ROI) อย่างแม่นยำ

กลยุทธ์การเลือกกลุ่มเป้าหมาย

  • Undifferentiated Marketing (Mass Marketing) เป็นการทำตลาดแบบหว่านไปทั่ว ไม่เจาะจงว่าเป็นใคร กลุ่มไหน มุ่งจะเข้าถึงคนให้มากที่สุด ตัวอย่าง เช่น สินค้าจำเป็นพื้นฐานอย่างเกลือ น้ำตาล หรืออาจเป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่ยังต้องการฐานลูกค้าวงกว้าง อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์แบบนี้ต้องใช้ทุนสูง และอาจไม่ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการสร้างความแตกต่างชัดเจน
  • Differentiated Marketing คือการเลือกหลายกลุ่มเป้าหมาย แต่จัดกลุ่มไว้ชัดเจน และสื่อสารแบบปรับเปลี่ยนตามความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่ม เช่น บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างไลน์สินค้าต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งกลุ่มราคาประหยัดและกลุ่มพรีเมียม กลยุทธ์นี้จะช่วยขยายฐานลูกค้าได้หลากหลาย แต่ก็ต้องลงทุนสูงในการพัฒนาสินค้าและทำการตลาดหลายรูปแบบ
  • Concentrated Marketing (Niche Marketing) คือการเลือกเจาะจงไปยังกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ค่อนข้างเล็กแต่มีความต้องการเฉพาะ (Niche Market) โดยทุ่มทรัพยากรและความเชี่ยวชาญทั้งหมดเพื่อตอบสนองกลุ่มนั้นให้ดีที่สุด ข้อดีคือสามารถสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีได้ง่ายและเกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์สูง ข้อเสียคือความเสี่ยง หากกลุ่มเป้าหมายไม่เติบโตหรือเปลี่ยนพฤติกรรม อาจทำให้ธุรกิจขาดความหลากหลายได้

Positioning วิธีสร้าง จุดยืน และ ภาพจำ

คือกระบวนการกำหนดว่าลูกค้าจะ “มอง” แบรนด์หรือสินค้าของเราอย่างไร เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด การวางตำแหน่งที่ดีจะต้องมีความ โดดเด่น และ สอดคล้อง กับความต้องการของผู้บริโภคเป้าหมาย ซึ่งหัวใจสำคัญมาจาก Value Proposition ที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์

องค์ประกอบของ Positioning

  • Insight เกี่ยวกับลูกค้า การจะกำหนดตำแหน่งสินค้าหรือบริการได้ตรงใจลูกค้า ต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง (Consumer Insight) เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาให้คุณค่า ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพ, ราคา, การบริการ, ความแตกต่างด้านอารมณ์ความรู้สึก หรืออื่น ๆ
  • จุดแข็งขององค์กรหรือแบรนด์ การวางตำแหน่งควรตั้งอยู่บนรากฐานที่องค์กรทำได้จริง และทำได้ดีด้วย เช่น หากองค์กรมีความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมการผลิต ตำแหน่งที่เน้น “เทคโนโลยีล้ำสมัย” อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
  • ความแตกต่างจากคู่แข่ง (Differentiation) การสร้าง Positioning ที่เหมือนหรือใกล้เคียงกับคู่แข่งมากเกินไป มักจะนำไปสู่สงครามราคา ในทางตรงกันข้ามหากแบรนด์สามารถสร้างจุดต่างได้อย่างชัดเจน ก็จะช่วยยกระดับคุณค่าและทำให้ลูกค้าจดจำได้ดีกว่า
  • ความสอดคล้องในระยะยาว แม้ตลาดจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ Positioning ที่ดีจำเป็นต้องมีเสถียรภาพในระยะยาว เพื่อรักษา ภาพจำ (Brand Image) ที่แข็งแกร่งในใจลูกค้า แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถปรับตัวได้บ้าง หากกระแสผู้บริโภคเปลี่ยน

วิธีสร้าง Positioning ที่น่าจดจำ

  • ค้นหา “คุณค่า” หลักที่ตรงความต้องการลูกค้า ตัวอย่างเช่น การที่ Starbucks ไม่ได้ขายแค่กาแฟ แต่ขาย ประสบการณ์ (Experience) ด้านบรรยากาศและความผ่อนคลาย การเจาะลึกว่าลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่สินค้าพื้นฐาน แต่ต้องการประสบการณ์ที่มีความหมายมากกว่า
  • เลือกสื่อสารเฉพาะจุดที่แข็งที่สุด แบรนด์อาจมีจุดแข็งหลายด้าน แต่ควรเลือกเพียง หนึ่งหรือสองจุด ที่ต้องการสื่อสารอย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าจดจำและเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้ทันที โดยไม่สับสน
  • ใช้ Storytelling สร้างอารมณ์ร่วม การเล่าเรื่อง (Storytelling) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกของลูกค้า ตำแหน่งทางการตลาดที่ถูกเล่าผ่านเรื่องราวจะติดตาและติดใจลูกค้าง่ายกว่าเพียงการบอกสรรพคุณแบบตรง ๆ
  • ส่งมอบประสบการณ์ที่สอดคล้องกับ Positioning หากแบรนด์สัญญาว่าจะให้บริการเหนือชั้นหรือเป็นแบรนด์พรีเมียม ทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) ตั้งแต่หน้าเว็บไซต์ ร้านค้า ไปจนถึงฝ่ายบริการลูกค้าต้องแสดงให้เห็นถึงความพรีเมียมอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่คำโฆษณา

การผสมผสาน STP เข้ากับการตลาดสมัยใหม่

ในยุคดิจิทัลที่ผู้บริโภคมีพฤติกรรม Online มากยิ่งขึ้น การประยุกต์ใช้ STP ยังต้องผนวกรวมกับเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเช่นกัน

  • การใช้ Data Analytics และ AI ธุรกิจสามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งการค้นหา การคลิก และการซื้อ ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกถึง Micro-Segment ที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น และสามารถปรับข้อความโฆษณาหรือโปรโมชั่นให้ตรงใจในระดับบุคคล
  • การตลาดแบบ Personalization เมื่อวาง Positioning และเลือกเป้าหมายไว้ชัดเจนแล้ว ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารแบบเฉพาะตัวให้แต่ละบุคคล (One-to-One Marketing) เช่น ร้านค้าออนไลน์อาจแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับประวัติการซื้อหรือการดูสินค้าของแต่ละคน โดยไม่ต้องโฆษณาแบบกว้าง ๆ ให้สิ้นเปลือง
  • Omnichannel Marketing ปัจจุบันผู้บริโภคใช้หลายช่องทางในการสั่งซื้อและติดต่อธุรกิจ การผสานทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์ให้เป็นประสบการณ์เดียวกันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ตำแหน่งแบรนด์ (Position) ที่ถูกกำหนดไว้ต้องถูกส่งต่ออย่างสม่ำเสมอในทุกช่องทาง เช่น เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย, ร้านค้าหน้าร้าน, และระบบขนส่งสินค้า

สรุป

จากการอธิบายทั้งหมด จะเห็นได้ว่า STP ไม่ใช่เพียง “เครื่องมือ” ทางการตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นกระบวนการเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่การวิเคราะห์โอกาสในตลาด การเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ไปจนถึงการกำหนดทิศทางของแบรนด์ เพื่อสร้าง ความโดดเด่น และ ตอบสนอง ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างยอดเยี่ยม การวางแผน STP อย่างละเอียดและตรงประเด็นสามารถผลักดันให้องค์กร “เลือกสู้” ในสนามที่ตัวเองถนัด ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้โดนใจ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือใหญ่ การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและวางตำแหน่งแบรนด์ที่โดดเด่นย่อมเพิ่มโอกาสสู่ความสำเร็จในระยะยาว ด้วยพื้นฐาน STP ที่แข็งแรง ธุรกิจจะสามารถสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันและเป็นที่จดจำในใจผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าตลาดจะเปลี่ยนไปอย่างไร STP ยังคงเป็นหลักยึดอันทรงพลัง ที่พร้อมให้เรานำไปต่อยอดและปรับใช้ในกลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ได้อย่างไม่รู้จบ

Previous Article

Remarketing คืออะไร สำคัญแค่ไหนกับการทำการตลาด

Next Article

Go Green คืออะไร ธุรกิจปัจจุบันสามารถไปได้หรือยัง

Write a Comment

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Subscribe to our Newsletter

Subscribe to our email newsletter to get the latest posts delivered right to your email.
Pure inspiration, zero spam ✨